tag:blogger.com,1999:blog-16178433728123693222024-03-12T18:44:50.599-07:00ปริยากรปริยากร เจริญวิริยะภาพhttp://www.blogger.com/profile/00767415070488691558noreply@blogger.comBlogger9125tag:blogger.com,1999:blog-1617843372812369322.post-37973219353248306432010-09-07T21:53:00.000-07:002010-09-07T21:53:15.466-07:00วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา<strong> <span class="heading2"> วันมาฆบูชา</span></strong><span class="text"> : โ อ ว า ท ป า ฏิ โ ม ก ข์ </span><span class="text"><br />
<br />
ตรงกับวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ หรือ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ในปีอธิกมาส <br />
<br />
เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณภายใต้ต้น อัสสัตถพฤกษ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ พระองค์ประทับเสวยวิมุติสุขในเขตปริมณฑลนั้นเป็นเวลา ๗ สัปดาห์ จากนั้นจึงเสด็จไปโปรดคณะปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี</span><br />
<strong><span class="heading2">นวิสาขบูชา</span></strong><span class="text"> : ประสูติ - ตรัสรู้ - ปรินิพพาน</span><strong><span class="heading2">นอาสาฬหบูชา</span></strong><span class="text"> : พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนา</span> <div align="justify"><span class="text">ตรงกับวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘<br />
<br />
วันอาสาฬหบูชา เป็นอีกวันหนึ่งที่มีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนา เพราะเป็น<span class="style1">ครั้งแรกที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง พระธรรมเทศนา</span>แก่ ปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสชิ ซึ่งล้วนแล้วแต่ เป็นผู้อุปฐากพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงเทศนาในครั้งนี้มีชื่อว่า "ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร" ซึ่งได้แก่อริยสัจ 4 ซึ่งหมายถึง ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว โกญฑัญญะ ก็สำเร็จพระโสดา รู้ตามกระแสพระธรรมของพระพุทธเจ้า ดังนั้นจึงนับได้ว่า วันนี้ เป็นวันแรกที่มี<span class="style1">พระรัตนตรัยครบเป็นองค์ 3</span> คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า นับเป็นวันแรกที่ พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนา</span></div><div align="justify"><span class="text"> </span> </div><span class="text"> </span><a class="text3" href="http://www.fungdham.com/important-day/makha.html"><br />
</a>ปริยากร เจริญวิริยะภาพhttp://www.blogger.com/profile/00767415070488691558noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1617843372812369322.post-57729360422198123052010-09-07T21:21:00.000-07:002010-09-07T21:21:16.492-07:00ปัจจัยที่มีอิทธพลต่อการตั้งถิ่นฐาน<table border="0" cellpadding="5" cellspacing="0" class="fontblacksm"><tbody>
<tr valign="top"><td><span class="fontbold">ปัจจัย ที่มีอิทธิพลต่อการตั้งถิ่นฐาน </span><br />
<div align="left"><span style="font-family: Arial;"> </span>การตั้ง ถิ่นฐาน เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว จึงเกิดการรวมกลุ่มเพื่อตั้งบ้านเรือนและจัดการกับสิ่งรอบตัวให้เหมาะกับการ ดำรงชีพ การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตั้งถิ่นฐานนั้น ๆ ดังนี้<br />
<br />
<b><span style="font-family: Arial;"> </span>ก. ปัจจัยทางกายภาพ</b> แบ่งได้เป็น<br />
<b><b><span style="font-family: Arial;"><span style="font-family: Arial;"> <span style="font-family: Arial;"> </span></span></span></b>๑) โครงสร้างและระดับความสูงของพื้นที่</b>เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าเขต ที่ราบมีความเหมาะสมที่จะตั้งถิ่นฐานมากกว่าเขตที่สูงหรือภูเขา เนื่องจากลักษณะพื้นที่กว้างขวางราบเรียบทำให้สามารถเพาะปลูกได้สะดวก และเขตที่ราบมักจะมีดินอุดมสมบูรณ์ สามารถปลูกพืชได้หลายชนิดมากกว่า สำหรับพื้นที่สูงหรือทุรกันดารซึ่งเข้าถึงลำบากนั้น มีเหตุจูงใจให้มนุษย์ตั้งถิ่นฐานอยู่บ้าง เช่น เพื่อความปลอดภัยจากการรุกราน หรือหากจำเป็นต้องตั้งถิ่นฐานตามภูเขาก็มักจะเลือกอยู่อาศัยในลาดเขาด้านที่ เหมาะสม<br />
<b><b><span style="font-family: Arial;"><span style="font-family: Arial;"> <span style="font-family: Arial;"> </span> </span></span></b>๒) อากาศ</b> อากาศมีผลโดยตรงต่อมนุษย์เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการกำหนดลักษณะดินและพืช สภาพของดินฟ้าอากาศมีอิทธิพลต่อการตั้งถิ่นฐาน มีอิทธิพลต่อการสร้างบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย และวิถีการดำรงชีวิตจากแผนที่แสดงการกระจายตัวประชากรจะเห็นได้ว่า ประชาชนจะอยู่กันหนาแน่นในเขตที่มีอากาศเหมาะสม ส่วนบริเวณที่มีอากาศปรวนแปรจะมีประชาชนเบาบาง หรือปราศจากผู้อยู่อาศัย<br />
<b><span style="font-family: Arial;"><span style="font-family: Arial;"> </span></span></b>นอกจาก อุณหภูมิแล้ว ความชื้นของอากาศก็มีความสำคัญ ในแถบศูนย์สูตรที่มีสภาพอากาศร้อนชื้นจะทำให้เหนื่อยง่าย มีเหงื่อมาก ไม่สบายตัว ในเขตอากาศเย็นกว่าแถบละติจูดกลาง อุณหภูมิเย็นพอเหมาะ ทำให้การตั้งถิ่นฐานหนาแน่น<br />
<b><b><span style="font-family: Arial;"><span style="font-family: Arial;"> <span style="font-family: Arial;"> </span></span></span></b>๓) น้ำ</b> ปัจจัยในเรื่องน้ำมีอิทธิพลต่อการตั้งถิ่นฐานมาก โดยเฉพาะในสมัยโบราณการตั้งถิ่นฐานทุกแห่งเป็นการหาพื้นที่ที่จะทำการเกษตร ด้วย น้ำที่ใช้ในการทำเกษตรกรรมไม่จำเป็นต้องมาจากฝนหรือแหล่งน้ำลำธารแต่เพียง อย่างเดียว ในบางแห่งที่ขาดฝน อาจหาแหล่งน้ำอื่น ๆ มาใช้เพื่อการเกษตร เช่น น้ำบาดาล<br />
<span style="font-family: Arial;"> </span>ปัจจุบันมนุษย์สามารถแก้ปัญหาเรื่อง น้ำไปได้มาก เช่น การจัดการระบายน้ำของชาวดัตช์ ทำให้สามารถขยายพื้นที่เพาะปลูกไปในที่ลุ่มต่ำกว่าระดับน้ำทะเลได้ สำหรับในประเทศไทยสามารถเพิ่มเนื้อที่เพาะปลูกริมทะเลด้วยการถมทะเล หรือโครงการพัฒนาลุ่มน้ำตามภาคต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยปรับปรุงพื้นที่ชนบทให้สามารถทำการเกษตรได้อย่างกว้าง ขวาง<br />
<br />
<b><span style="font-family: Arial;"><span style="font-family: Arial;"> </span></span>ข. ปัจจัยทางวัฒนธรรม</b><br />
<span style="font-family: Arial;"> </span>การที่มนุษย์ครอบครองพื้นที่เพื่อตั้ง ถิ่นฐานทำมาหากิน ณ ที่ใดที่หนึ่ง ย่อมมีอิทธิพลต่อสภาพธรรมชาติ รวมทั้งเกิดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในถิ่นฐานเดียวกัน และระหว่างถิ่นฐานต่าง ๆ<br />
<span style="font-family: Arial;"> </span>วิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน ออกไปในถิ่นฐานแต่ละแห่ง สามารถจำแนกได้เป็น<br />
<b><span style="font-family: Arial;"> <span style="font-family: Arial;"> </span></span>๑) ภาษา</b> โดยเฉพาะภาษาพูด ถือว่าเป็นตัวแทนของลักษณะวัฒนธรรม ภาษาเป็นสื่อสำคัญที่สืบทอดวัฒนธรรมดั้งเดิมจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นต่อ ๆ ไป กลุ่มวัฒนธรรมต่าง ๆ มักมีภาษาของตนเอง จึงใช้ภาษาเป็นเครื่องวัดความแตกต่างของวัฒนธรรมได้ ภาษาจึงอาจเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เช่น การห้ามใช้ภาษาต่างประเทศ เป็นวิธีที่จะให้ประชาชนหันมาสนใจและรักประเทศของตน ภูมิใจในชาติของตน รวมทั้งรักเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนยิ่งขึ้น<br />
<b><span style="font-family: Arial;"> <span style="font-family: Arial;"> </span></span>๒) ศาสนา</b> ศาสนาเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรม ความเชื่อถือยึดมั่นและการปฏิบัติตามหลักของศาสนาเป็นหลักที่กำหนดวิถีชีวิต ในท้องถิ่น สถานที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาอาจทำให้ท้องถิ่นหนึ่งมีความสำคัญมาก กว่าท้องถิ่นอื่น วัด โบสถ์ และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆทางศาสนา จะมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกัน แสดงความเป็นเอกลักษณ์ของชาตินั้น ๆศาสนาอาจมีอิทธิพลต่อการเกษตรกรรม การบริโภคอาหาร ตลอดจนด้านเศรษฐกิจ<br />
<b><span style="font-family: Arial;"> <span style="font-family: Arial;"> </span></span>๓) การเมือง</b> อิทธิพลทางการเมืองมีผลต่อพื้นที่ตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินทำกิน เช่น กฎหมายปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กฎหมายเกี่ยวกับการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พระราชกำหนดยกเลิกสัมปทานป่าไม้ เป็นต้น<br />
<br />
<span style="font-family: Arial;"> </span><b>ค. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ</b><br />
<span style="font-family: Arial;"> </span>การประกอบอาชีพของมนุษย์ขึ้นอยู่กับ อิทธิพลของสภาพแวดล้อมและระดับความเจริญทางเทคโนโลยี ตัวอย่างของวิวัฒนาการการประกอบอาชีพที่มีความสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานของ มนุษย์ ได้แก่<br />
<b><span style="font-family: Arial;"> <span style="font-family: Arial;"> </span></span>๑) การเพาะปลูก</b> การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์แบบถาวรเริ่มขึ้นเมื่อมนุษย์รู้จักเพาะปลูกด้วย ตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งผลิตผลตามธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียว และการตั้งถิ่นฐานแบบถาวนี้ มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมมาก ตัวอย่างเช่น การทำไร่เลื่อนลอย เป็นการเพาะปลูกแบบไม่บำรุงดิน เมื่อดำเนินไปหลายปีจะทำให้ดินเสื่อมสภาพลง และต้องย้ายไปหาที่เพาะปลูกใหม่หมุนเวียนไปเรื่อย ๆ เป็นการทำลายป่าและความอุดมสมบูรณ์ของดิน ส่วนการเพาะปลูกแบบไร่นาสวนผสมจะมีการดูแลบำรุงดินที่ดีกว่า ทำให้สามารถคงความอุดมสมบูรณ์ของดินไว้ได้<br />
<b><span style="font-family: Arial;"> <span style="font-family: Arial;"> </span></span>๒) การเลี้ยงสัตว์</b> แบ่งเป็น ๓ ประเภทคือ การเลี้ยงสัตว์ไว้บริโภค ไว้ใช้งาน และไว้ขาย ส่วนใหญ่จะทำในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์แบบอยู่เป็นที่จะไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากเท่ากับการ เลี้ยงสัตว์แบบเร่ร่อน<br />
<b><span style="font-family: Arial;"> <span style="font-family: Arial;"> </span></span>๓) อุตสาหกรรม</b> เป็นการนำผลิตผลมาดัดแปลงหรือแปรสภาพให้เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ เป็นกิจกรรมที่มีลักษณะซับซ้อน ในเนื้อที่น้อย ต้องใช้วัตถุดิบและเชื้อเพลิงจำนวนมากในการผลิต มีการใช้แรงงาน ตลอดจนต้องการความสะดวกในการคมนาคมขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นการนำวัตถุดิบเข้าสู่โรงงานและผลิตผลจากโรงงานออกสู่ตลาด ทำให้เกิดการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ลักษณะดังกล่าวนี้ทำให้เกิดชุมชนขึ้นและมีการขยายตัวทั้งชุมชนและโรงงาน อุตสาหกรรม ซึ่งย่อมจะมีผลต่อการเติบโตของเมืองอย่างกว้างขวาง <br />
<span class="fontblackmini">[<a href="http://guru.sanook.com/enc_preview.php?id=2380&title=%C7%D4%C7%D1%B2%B9%D2%A1%D2%C3%E3%B9%A1%D2%C3%B5%D1%E9%A7%B6%D4%E8%B9%B0%D2%B9#%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%AF%20%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%2017">กลับ หัวข้อหลัก</a>]</span></div></td> <td align="right"><table bgcolor="#cccccc" border="0" cellpadding="10" cellspacing="1"><tbody>
<tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff"><img src="http://guru.sanook.com/picfront/sub/resize_3723_6_15122006032055.jpg" /><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody>
<tr> <td class="fontblackmini"><b>สถานที่ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาเป็นปัจจัยสำคัญของวัฒนธรรม : วัด - ศาสนาพุทธ</b></td> <td align="right"><a href="http://guru.sanook.com/enc_photo.php?pic=19138&pictitle=%CA%B6%D2%B9%B7%D5%E8%E1%C5%D0%CA%D4%E8%A7%C8%D1%A1%B4%D4%EC%CA%D4%B7%B8%D4%EC%B7%D2%A7%C8%D2%CA%B9%D2%E0%BB%E7%B9%BB%D1%A8%A8%D1%C2%CA%D3%A4%D1%AD%A2%CD%A7%C7%D1%B2%B9%B8%C3%C3%C1+%3A+%C7%D1%B4+-+%C8%D2%CA%B9%D2%BE%D8%B7%B8&id=2380&actype=sub" target="_blank"><img border="0" height="15" src="http://guru.sanook.com/images/photo.gif" width="20" /></a></td> </tr>
</tbody></table></td> </tr>
</tbody></table><br />
<table bgcolor="#cccccc" border="0" cellpadding="10" cellspacing="1"><tbody>
<tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff"><img src="http://guru.sanook.com/picfront/sub/resize_3723_9_15122006032055.jpg" /><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody>
<tr> <td class="fontblackmini"><b>การทำไร่ เลื่อนลอยบนภูเขา</b></td> <td align="right"><a href="http://guru.sanook.com/enc_photo.php?pic=19141&pictitle=%A1%D2%C3%B7%D3%E4%C3%E8%E0%C5%D7%E8%CD%B9%C5%CD%C2%BA%B9%C0%D9%E0%A2%D2&id=2380&actype=sub" target="_blank"><img border="0" height="15" src="http://guru.sanook.com/images/photo.gif" width="20" /></a></td> </tr>
</tbody></table></td> </tr>
</tbody></table><br />
<table bgcolor="#cccccc" border="0" cellpadding="10" cellspacing="1"><tbody>
<tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff"><img src="http://guru.sanook.com/picfront/sub/resize_3723_11_15122006032055.jpg" /><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody>
<tr> <td class="fontblackmini"><b>โรงงาน อุตสาหกรรมใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการประกอบอาชีพ</b></td> <td align="right"><a href="http://guru.sanook.com/enc_photo.php?pic=19143&pictitle=%E2%C3%A7%A7%D2%B9%CD%D8%B5%CA%D2%CB%A1%C3%C3%C1%E3%AA%E9%A4%C7%D2%C1%A1%E9%D2%C7%CB%B9%E9%D2%B7%D2%A7%E0%B7%A4%E2%B9%E2%C5%C2%D5%E0%A2%E9%D2%C1%D2%AA%E8%C7%C2%E3%B9%A1%D2%C3%BB%C3%D0%A1%CD%BA%CD%D2%AA%D5%BE&id=2380&actype=sub" target="_blank"><img border="0" height="15" src="http://guru.sanook.com/images/photo.gif" width="20" /></a></td> </tr>
</tbody></table></td> </tr>
</tbody></table><br />
<table bgcolor="#cccccc" border="0" cellpadding="10" cellspacing="1"><tbody>
<tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff"><img src="http://guru.sanook.com/picfront/sub/resize_3723__15122006032055.jpg" /><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody>
<tr> <td class="fontblackmini"><b>แผนที่ แสดงความหนาแน่นของประชากรในเขตเมืองสงขลา</b></td> <td align="right"><a href="http://guru.sanook.com/enc_photo.php?pic=19133&pictitle=%E1%BC%B9%B7%D5%E8%E1%CA%B4%A7%A4%C7%D2%C1%CB%B9%D2%E1%B9%E8%B9%A2%CD%A7%BB%C3%D0%AA%D2%A1%C3%E3%B9%E0%A2%B5%E0%C1%D7%CD%A7%CA%A7%A2%C5%D2&id=2380&actype=sub" target="_blank"><img border="0" height="15" src="http://guru.sanook.com/images/photo.gif" width="20" /></a></td> </tr>
</tbody></table></td> </tr>
</tbody></table><br />
<table bgcolor="#cccccc" border="0" cellpadding="10" cellspacing="1"><tbody>
<tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff"><img src="http://guru.sanook.com/picfront/sub/resize_3723_2_15122006032055.jpg" /><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody>
<tr> <td class="fontblackmini"><b>คนต่าง ชาติต่างภาษาสามารถอยู่ร่วมกันได้</b></td> <td align="right"><a href="http://guru.sanook.com/enc_photo.php?pic=19134&pictitle=%A4%B9%B5%E8%D2%A7%AA%D2%B5%D4%B5%E8%D2%A7%C0%D2%C9%D2%CA%D2%C1%D2%C3%B6%CD%C2%D9%E8%C3%E8%C7%C1%A1%D1%B9%E4%B4%E9&id=2380&actype=sub" target="_blank"><img border="0" height="15" src="http://guru.sanook.com/images/photo.gif" width="20" /></a></td> </tr>
</tbody></table></td> </tr>
</tbody></table><br />
<table><tbody>
<tr><td nowrap="nowrap"><span class="fontblackmini">[<a href="http://guru.sanook.com/slide_photo.php?pic=&pictitle=%C7%D4%C7%D1%B2%B9%D2%A1%D2%C3%E3%B9%A1%D2%C3%B5%D1%E9%A7%B6%D4%E8%B9%B0%D2%B9&id=2380&actype=main" target="_blank">ดูภาพทั้งหมดในเรื่องนี้</a>] </span> </td> </tr>
</tbody></table></td> </tr>
</tbody></table><table border="0" cellpadding="5" cellspacing="0" class="fontblacksm"><tbody>
<tr valign="top"> <td><span class="fontbold"><a href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=1617843372812369322" name="ความสัมพันธ์ของการตั้งถิ่นฐานกับสภาพแวดล้อม"></a> ความสัมพันธ์ของการตั้งถิ่นฐานกับสภาพแวดล้อม </span><br />
<div align="left"><span style="font-family: Arial;"> </span>เมื่อ มนุษย์มีความสัมพันธ์กันและเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน มนุษย์จะรวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่ม สร้างบ้านเรือนแหล่งที่อยู่อาศัย ทำไร่ทำนา เลี้ยงสัตว์ มีกิจกรรมร่วมกัน และมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อเลือกสถานที่ที่จะตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยแล้ว มนุษย์ก็เริ่มจัดการกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัว เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการดำรงชีพ สิ่งแวดล้อมดังกล่าวสามารถแบ่งได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ<br />
<span style="font-family: Arial;"> <span style="font-family: Arial;"> </span></span>๑) สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ได้แก่ อากาศ แม่น้ำ ลำคลอง ทะเลสาบ มหาสมุทร พื้นดิน แร่ธาตุ ภูเขา ป่าไม้ และสัตว์ป่า เป็นต้น<br />
<span style="font-family: Arial;"> <span style="font-family: Arial;"> </span></span>๒) สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ บ้านเรือน โรงเรียน ถนน รถยนต์ เขื่อนกักเก็บน้ำ เป็นต้น รวมตลอดถึงขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ระบบเศรษฐกิจและสังคมด้วย<br />
<span style="font-family: Arial;"> </span>สิ่งแวดล้อมเหล่านี้ประกอบกันขึ้นเป็น ถิ่นฐานมนุษย์ โดยมีขนบธรรมเนียม ประเพณีระบบเศรษฐกิจและสังคมที่มนุษย์สร้างขึ้น และข้อจำกัดทางธรรมชาติเป็นกฎเกณฑ์ และเป็นหลักสำหรับการอยู่ร่วมกัน เพื่อให้การดำรงชีวิตเป็นไปอย่างผาสุก และให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี<br />
<span style="font-family: Arial;"> </span>มนุษย์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของ สิ่งแวดล้อม ดังนั้น การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์จึงมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต่อความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมที่เราเรียกกันว่าระบบ นิเวศ ผลกระทบนั้นเป็นไปได้ทั้งในทางทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น หรือในทางทำลายให้เลวลง แต่ถ้าเราไม่มีการวางแผนเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานแล้ว ย่อมทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เสื่อมลง การตั้งถิ่นฐานที่ขาดการควบคุมย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้นความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยี ก็เป็นปัจจัยอีกตัวหนึ่งที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจาก การที่เรามุ่งพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศขยายการก่อสร้างปัจจัยพื้น ฐาน เช่น ถนน เขื่อนสนามบิน ท่าเรือ เป็นต้น การที่เราเร่งผลิตสินค้าและบริการให้ทันกับความต้องการของถิ่นฐานที่ขยาย ใหญ่ขึ้น เหล่านี้ทำให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมาก จากกระบวนการพัฒนาและการผลิตนี้เอง ทำให้มีของเสียเหลือทิ้งออกมาในรูปต่าง ๆ เจือปนอยู่ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้ความสมดุลของธรรมชาติเสียไป<br />
<span style="font-family: Arial;"> </span>เมื่อสิ่งแวดล้อมถูกทำลายและมีของเสีย ปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก สิ่งแวดล้อมก็จะอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมและอาจจะรุนแรงถึงขั้นเป็นพิษเป็นภัย ได้ การที่สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมและเป็นพิษ จะมีผลโดยตรงต่อสุขภาพและอนามัยของมนุษย์ อีกทั้งการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่หยุดยั้งและไม่ระมัดระวัง จะทำให้ทรัพยากรธรรมชาติสูญสิ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนี้มิได้เกิดขึ้นเฉพาะกับ สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในรูปปัญหาทางสังคมอีก ซึ่งเป็นหน้าที่ของสมาชิกทุกคนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่จะต้องช่วยกันอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมให้อยู่ในสภาพที่ดี มีคุณภาพเพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อไปในวันข้างหน้า <br />
<span class="fontblackmini"></span></div></td> <td align="right"><table bgcolor="#cccccc" border="0" cellpadding="10" cellspacing="1"><tbody>
<tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff"><img src="http://guru.sanook.com/picfront/sub/resize_3725__15122006032347.jpg" /><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody>
<tr> <td class="fontblackmini"><b>สิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ : ป่าไม้</b></td> <td align="right"><a href="http://guru.sanook.com/enc_photo.php?pic=19144&pictitle=%CA%D4%E8%A7%E1%C7%B4%C5%E9%CD%C1%B7%D5%E8%E0%A1%D4%B4%A2%D6%E9%B9%E2%B4%C2%B8%C3%C3%C1%AA%D2%B5%D4+%3A+%BB%E8%D2%E4%C1%E9&id=2380&actype=sub" target="_blank"><img border="0" height="15" src="http://guru.sanook.com/images/photo.gif" width="20" /></a></td> </tr>
</tbody></table></td> </tr>
</tbody></table><br />
<table bgcolor="#cccccc" border="0" cellpadding="10" cellspacing="1"><tbody>
<tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff"><img src="http://guru.sanook.com/picfront/sub/resize_3725_5_15122006032347.jpg" /><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody>
<tr> <td class="fontblackmini"><b>สิ่งแวดล้อม ที่มนุษย์สร้างขึ้น : สาธารณูปโภคพื้นฐาน</b></td> <td align="right"><a href="http://guru.sanook.com/enc_photo.php?pic=19148&pictitle=%CA%D4%E8%A7%E1%C7%B4%C5%E9%CD%C1%B7%D5%E8%C1%B9%D8%C9%C2%EC%CA%C3%E9%D2%A7%A2%D6%E9%B9+%3A+%CA%D2%B8%D2%C3%B3%D9%BB%E2%C0%A4%BE%D7%E9%B9%B0%D2%B9&id=2380&actype=sub" target="_blank"><img border="0" height="15" src="http://guru.sanook.com/images/photo.gif" width="20" /></a></td> </tr>
</tbody></table></td> </tr>
</tbody></table><br />
<table><tbody>
<tr><td nowrap="nowrap"><span class="fontblackmini">[<a href="http://guru.sanook.com/slide_photo.php?pic=&pictitle=%C7%D4%C7%D1%B2%B9%D2%A1%D2%C3%E3%B9%A1%D2%C3%B5%D1%E9%A7%B6%D4%E8%B9%B0%D2%B9&id=2380&actype=main" target="_blank">ดูภาพทั้งหมดในเรื่องนี้</a>] </span></td></tr>
</tbody></table></td></tr>
</tbody></table>ปริยากร เจริญวิริยะภาพhttp://www.blogger.com/profile/00767415070488691558noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1617843372812369322.post-78563248986913129592010-09-01T18:51:00.000-07:002010-09-01T18:51:49.307-07:00ทรัพยากรน้ำ<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;"><b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 12pt;">ทรัพยากรน้ำ</span></b><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 12pt;"><o:p></o:p></span></div><div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">โลกของเราประกอบขึ้นด้วยพื้นดินและ พื้นน้ำ โดยส่วนที่เป็นฝืนน้ำนั้น มีอยู่ประมาณ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">3 </span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ส่วน (</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">75%) </span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">และเป็นพื้นดิน </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">1 </span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ส่วน (</span><span style="font-size: 10pt;">25%) </span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำ มีความสำคัญอย่างยิ่งกับชีวิตของพืชและสัตว์บนโลกรวมทั้งมนุษย์เราด้วย </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำเป็นทรัพยากรที่สามารถเกิด หมุนเวียนได้เรื่อย ๆ ไม่มีวันหมดสิ้น เมื่อแสงแดดส่องมาบนพื้นโลก น้ำจากทะเลและมหาสมุทรก็จะระเหยเป็นไอน้ำลอยขึ้นสู่เบื้องบนเนื่องจากไอน้ำ มีความเบากว่าอากาศ เมื่อไอน้ำลอยสู่เบื้องบนแล้ว จะได้รับความเย็นและกลั่นตัวกลายเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ ลอยจับตัวกันเป็นกลุ่มเฆม เมื่อจับตัวกันมากขึ้นและกระทบความเย็นก็จะกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำตกลงสู่ พื้นโลก น้ำบนพื้นโลกจะระเหยกลายเป็นไอน้ำอีกเมื่อได้รับความร้อนจากดวงทิตย์ ไอน้ำจะรวมตัวกันเป็นเมฆและกลั่นตัวเป็นหยดน้ำกระบวนการเช่นนี้ เกิดขึ้นเป็นวัฏจักรหมุนเวียนต่อเนื่องกันตลอดเวลา เรียกว่า วัฏจักรน้ำทำให้มีน้ำเกิดขึ้นบนผิวโลกอยู่สม่ำเสมอ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><b><span lang="TH" style="color: green; font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ประโยชน์ ของน้ำ</span></b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"> </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตของสัตว์และ พืชคนเรามีชีวิตอยู่โดยขาดน้ำได้ไม่เกิน</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"> 3 </span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">วัน และน้ำยังมีความจำเป็นทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ ประโยชน์ของน้ำ ได้แก่ </span><span style="font-family: Wingdings; font-size: 10pt;"><span><span style="font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่เราใช้สำหรับการดื่ม กิน การประกอบอาหาร ชำระร่างกาย ฯลฯ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span> <div class="MsoNormal" style="margin-left: 72pt; text-indent: -18pt;"><!--[if !supportLists]--><span style="font-family: Wingdings; font-size: 10pt;"><span>§<span style="font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำมีความจำเป็นสำหรับการเพาะปลูกเลี้ยง สัตว์ แหล่งน้ำเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ ซึ่งคนเราใช้เป็นอาหาร </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 72pt; text-indent: -18pt;"><!--[if !supportLists]--><span style="font-family: Wingdings; font-size: 10pt;"><span>§<span style="font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ในการอุตสาหกรรม ต้องใช้น้ำในขบวนการผลิตใช้ล้างของเสียใช้หล่อเครื่องจักรและระบายความร้อน ฯลฯ </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 72pt; text-indent: -18pt;"><!--[if !supportLists]--><span style="font-family: Wingdings; font-size: 10pt;"><span>§<span style="font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">การทำนาเกลือโดยการระเหยน้ำเค็มจากทะเล </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 72pt; text-indent: -18pt;"><!--[if !supportLists]--><span style="font-family: Wingdings; font-size: 10pt;"><span>§<span style="font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำเป็นแหล่งพลังงาน พลังงานจากน้ำใช้ทำระหัด ทำเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าได้ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><b><span lang="TH" style="color: green; font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ปัญหา ของทรัพยากรน้ำ</span></b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"> </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ปัญหาสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้น คือ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><b><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">1. </span></b><b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ปัญหาการมีน้ำ น้อยเกินไป</span></b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"> เกิดการขาดแคลนอันเป็นผลเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ปริมาณน้ำฝนน้อยลง เกิดความแห้งแล้งเสียหายต่อพืชเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><b><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">2. </span></b><b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ปัญหาการมีน้ำ มากเกินไป</span></b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"> เป็นผลมาจากการตัดไม้มากเกินไป ทำให้เกิดน้ำท่วมไหลบ่าในฤดูฝน สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><b><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">3. </span></b><b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ปัญหาน้ำเสีย</span></b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"> เป็นปัญหาใหม่ในปัจจุบัน สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำเสีย ได้แก่ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><ul type="square"><li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำทิ้งจากบ้านเรือน ขยะมูลฝอยและสิ่งปฎิกูลที่ถูกทิ้งสู่แม่น้ำลำคลอง </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
<li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
<li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำฝนพัดพาเอาสารพิษที่ตกค้างจากแหล่ง เกษตรกรรมลงสู่แม่น้ำลำคลอง </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
</ul><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำเสียที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลเสียหาย ทั้งต่อสุขภาพอนามัย เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ และมนุษย์ ส่งกลิ่นเหม็น รบกวน ทำให้ไม่สามารถนำแหล่งน้ำนั้นมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งการอุปโภค บริโภค เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม </span><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ผลกระทบของน้ำ เสียต่อสิ่งแวดล้อม</span></b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"> </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><ul type="square"><li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">เป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อโรค เช่น อหิวาตกโรค บิด ท้องเสีย </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
<li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงนำโรคต่าง ๆ </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
<li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ทำให้เกิดปัญหามลพิษต่อดิน น้ำ และอากาศ </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
<li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ทำให้เกิดเหตุรำคาญ เช่น กลิ่นเหม็นของน้ำโสโครก </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
<li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ทำให้เกิดการสูญเสียทัศนียภาพ เกิดสภาพที่ไม่น่าดู เช่น สภาพน้ำที่มีสีดำคล้ำไปด้วยขยะ และสิ่งปฎิกูล </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
<li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ เช่น การสูญเสียพันธุ์ปลาบางชนิดจำนวนสัตว์น้ำลดลง </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
</ul>ปริยากร เจริญวิริยะภาพhttp://www.blogger.com/profile/00767415070488691558noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1617843372812369322.post-40855426944890065372010-08-26T22:48:00.000-07:002010-08-26T22:48:04.696-07:00น้ำ<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;"><b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 12pt;">ทรัพยากรน้ำ</span></b><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 12pt;"><o:p></o:p></span></div><div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">โลกของเราประกอบขึ้นด้วยพื้นดินและ พื้นน้ำ โดยส่วนที่เป็นฝืนน้ำนั้น มีอยู่ประมาณ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">3 </span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ส่วน (</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">75%) </span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">และเป็นพื้นดิน </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">1 </span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ส่วน (</span><span style="font-size: 10pt;">25%) </span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำ มีความสำคัญอย่างยิ่งกับชีวิตของพืชและสัตว์บนโลกรวมทั้งมนุษย์เราด้วย </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำเป็นทรัพยากรที่สามารถเกิด หมุนเวียนได้เรื่อย ๆ ไม่มีวันหมดสิ้น เมื่อแสงแดดส่องมาบนพื้นโลก น้ำจากทะเลและมหาสมุทรก็จะระเหยเป็นไอน้ำลอยขึ้นสู่เบื้องบนเนื่องจากไอน้ำ มีความเบากว่าอากาศ เมื่อไอน้ำลอยสู่เบื้องบนแล้ว จะได้รับความเย็นและกลั่นตัวกลายเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ ลอยจับตัวกันเป็นกลุ่มเฆม เมื่อจับตัวกันมากขึ้นและกระทบความเย็นก็จะกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำตกลงสู่ พื้นโลก น้ำบนพื้นโลกจะระเหยกลายเป็นไอน้ำอีกเมื่อได้รับความร้อนจากดวงทิตย์ ไอน้ำจะรวมตัวกันเป็นเมฆและกลั่นตัวเป็นหยดน้ำกระบวนการเช่นนี้ เกิดขึ้นเป็นวัฏจักรหมุนเวียนต่อเนื่องกันตลอดเวลา เรียกว่า วัฏจักรน้ำทำให้มีน้ำเกิดขึ้นบนผิวโลกอยู่สม่ำเสมอ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><br />
</div><div align="center" class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt; text-align: center;"><span style="font-size: 10pt;"><!--[if gte vml 1]><v:shapetype
id="_x0000_t75" coordsize="21600,21600" o:spt="75" o:preferrelative="t"
path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" filled="f" stroked="f"> <v:stroke joinstyle="miter"/> <v:formulas> <v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"/> <v:f eqn="sum @0 1 0"/> <v:f eqn="sum 0 0 @1"/> <v:f eqn="prod @2 1 2"/> <v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"/> <v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"/> <v:f eqn="sum @0 0 1"/> <v:f eqn="prod @6 1 2"/> <v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"/> <v:f eqn="sum @8 21600 0"/> <v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"/> <v:f eqn="sum @10 21600 0"/> </v:formulas> <v:path o:extrusionok="f" gradientshapeok="t" o:connecttype="rect"/> <o:lock v:ext="edit" aspectratio="t"/> </v:shapetype><v:shape id="_x0000_i1025" type="#_x0000_t75" alt="" style='width:138pt;
height:107.25pt;mso-wrap-distance-left:15pt;mso-wrap-distance-right:15pt'> <v:imagedata src="subwater.files/image001.gif" o:href="http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet6/envi2/subwater/w1.gif"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]--><img height="143" hspace="20" src="http://www.school.net.th/library/snet6/envi2/subwater/subwater.files/image001.gif" v:shapes="_x0000_i1025" width="184" /><!--[endif]--><!--[if gte vml 1]><v:shape
id="_x0000_i1027" type="#_x0000_t75" alt="" style='width:141.75pt;height:107.25pt'> <v:imagedata src="subwater.files/image003.gif" o:href="http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet6/envi2/subwater/w3.gif"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]--><img height="143" src="http://www.school.net.th/library/snet6/envi2/subwater/subwater.files/image003.gif" v:shapes="_x0000_i1027" width="189" /><!--[endif]--><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><b><span lang="TH" style="color: green; font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ประโยชน์ ของน้ำ</span></b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"> </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตของสัตว์และ พืชคนเรามีชีวิตอยู่โดยขาดน้ำได้ไม่เกิน</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"> 3 </span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">วัน และน้ำยังมีความจำเป็นทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ ประโยชน์ของน้ำ ได้แก่ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 72pt; text-indent: -18pt;"><!--[if !supportLists]--><span style="font-family: Wingdings; font-size: 10pt;"><span>§<span style="font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่เราใช้สำหรับการดื่ม กิน การประกอบอาหาร ชำระร่างกาย ฯลฯ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 72pt; text-indent: -18pt;"><!--[if !supportLists]--><span style="font-family: Wingdings; font-size: 10pt;"><span>§<span style="font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำมีความจำเป็นสำหรับการเพาะปลูกเลี้ยง สัตว์ แหล่งน้ำเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ ซึ่งคนเราใช้เป็นอาหาร </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 72pt; text-indent: -18pt;"><!--[if !supportLists]--><span style="font-family: Wingdings; font-size: 10pt;"><span>§<span style="font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ในการอุตสาหกรรม ต้องใช้น้ำในขบวนการผลิตใช้ล้างของเสียใช้หล่อเครื่องจักรและระบายความร้อน ฯลฯ </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 72pt; text-indent: -18pt;"><!--[if !supportLists]--><span style="font-family: Wingdings; font-size: 10pt;"><span>§<span style="font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">การทำนาเกลือโดยการระเหยน้ำเค็มจากทะเล </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 72pt; text-indent: -18pt;"><!--[if !supportLists]--><span style="font-family: Wingdings; font-size: 10pt;"><span>§<span style="font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำเป็นแหล่งพลังงาน พลังงานจากน้ำใช้ทำระหัด ทำเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าได้ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 72pt; text-indent: -18pt;"><!--[if !supportLists]--><span style="font-family: Wingdings; font-size: 10pt;"><span>§<span style="font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สำคัญ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 72pt; text-indent: -18pt;"><!--[if !supportLists]--><span style="font-family: Wingdings; font-size: 10pt;"><span>§<span style="font: 7pt "Times New Roman";"> </span></span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ทัศนียภาพของริมฝั่งทะเลและน้ำที่ใสสะอาด เป็นแหล่งท่องเที่ยวของมนุษย์ </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><b><span lang="TH" style="color: green; font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ปัญหา ของทรัพยากรน้ำ</span></b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"> </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ปัญหาสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้น คือ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><b><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">1. </span></b><b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ปัญหาการมีน้ำ น้อยเกินไป</span></b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"> เกิดการขาดแคลนอันเป็นผลเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ปริมาณน้ำฝนน้อยลง เกิดความแห้งแล้งเสียหายต่อพืชเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><b><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">2. </span></b><b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ปัญหาการมีน้ำ มากเกินไป</span></b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"> เป็นผลมาจากการตัดไม้มากเกินไป ทำให้เกิดน้ำท่วมไหลบ่าในฤดูฝน สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><b><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">3. </span></b><b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ปัญหาน้ำเสีย</span></b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"> เป็นปัญหาใหม่ในปัจจุบัน สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำเสีย ได้แก่ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><ul type="square"><li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำทิ้งจากบ้านเรือน ขยะมูลฝอยและสิ่งปฎิกูลที่ถูกทิ้งสู่แม่น้ำลำคลอง </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
<li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
<li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำฝนพัดพาเอาสารพิษที่ตกค้างจากแหล่ง เกษตรกรรมลงสู่แม่น้ำลำคลอง </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
</ul><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">น้ำเสียที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลเสียหาย ทั้งต่อสุขภาพอนามัย เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ และมนุษย์ ส่งกลิ่นเหม็น รบกวน ทำให้ไม่สามารถนำแหล่งน้ำนั้นมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งการอุปโภค บริโภค เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div align="center" class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt; text-align: center;"><span style="font-size: 10pt;"><!--[if gte vml 1]><v:shape
id="_x0000_i1029" type="#_x0000_t75" alt="" style='width:121.5pt;height:100.5pt'> <v:imagedata src="subwater.files/image005.gif" o:href="http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet6/envi2/subwater/w5.gif"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]--><img height="134" src="http://www.school.net.th/library/snet6/envi2/subwater/subwater.files/image013.jpg" v:shapes="_x0000_i1029" width="162" /><!--[endif]--><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ผลกระทบของน้ำ เสียต่อสิ่งแวดล้อม</span></b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"> </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><ul type="square"><li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">เป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อโรค เช่น อหิวาตกโรค บิด ท้องเสีย </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
<li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงนำโรคต่าง ๆ </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
<li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ทำให้เกิดปัญหามลพิษต่อดิน น้ำ และอากาศ </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
<li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ทำให้เกิดเหตุรำคาญ เช่น กลิ่นเหม็นของน้ำโสโครก </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
<li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ทำให้เกิดการสูญเสียทัศนียภาพ เกิดสภาพที่ไม่น่าดู เช่น สภาพน้ำที่มีสีดำคล้ำไปด้วยขยะ และสิ่งปฎิกูล </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
<li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ เช่น การสูญเสียพันธุ์ปลาบางชนิดจำนวนสัตว์น้ำลดลง </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
<li class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศในระยะ ยาว </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></li>
</ul><div class="MsoNormal"><b><span lang="TH" style="color: green; font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">การอนุรักษ์น้ำ</span></b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"> </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">ดังได้กล่าวมาแล้วจะเห็นว่า น้ำมีความสำคัญและมีประโยชน์มหาศาล เราจึงควรช่วยแก้ไขปัญหาน้ำเสียหรือการสูญเสียทรัพยากรน้ำด้วยการอนุรักษ์ น้ำ ดังนี้ </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">1. </span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">การใช้น้ำอย่าง ประหยัด การใช้น้ำอย่างประหยัดนอกจากจะลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าน้ำลงได้แล้ว ยังทำให้ปริมาณน้ำเสียที่จะทิ้งลงแหล่งน้ำมีปริมาณน้อย และป้องกันการขาดแคลนน้ำได้ด้วย </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">2. </span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">การสงวนน้ำไว้ใช้ ในบางฤดูหรือในสภาวะที่มีน้ำมากเหลือใช้ควรมีการเก็บน้ำไว้ใช้ เช่น การทำบ่อเก็บน้ำ การสร้างโอ่งน้ำ ขุดลอกแหล่งน้ำ รวมทั้งการสร้างอ่างเก็บน้ำ และระบบชลประทาน </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">3. </span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">การพัฒนาแหล่งน้ำ ในบางพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ จำเป็นที่จะต้องหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถมีน้ำไว้ใช้ ทั้งในครัวเรือนและในการเกษตรได้อย่างพอเพียง ปัจจุบันการนำน้ำบาดาลขึ้นมาใช้กำลังแพร่หลายมากขึ้นแต่อาจมีปัญหาเรื่อง แผ่นดินทรุด </span><span style="font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">4. </span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">การป้องกันน้ำ เสีย การไม่ทิ้งขยะและสิ่งปฎิกูลและสารพิษลงในแหล่งน้ำ น้ำเสียที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล ควรมีการบำบัดและขจัดสารพิษก่อนที่จะปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt;"><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;">5. </span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">การนำน้ำเสียกลับ ไปใช้ น้ำที่ไม่สามารถใช้ได้ในกิจการอย่างหนึ่งอาจใช้ได้ในอีกกิจการหนึ่ง เช่น น้ำทิ้งจากการล้างภาชนะอาหาร สามารถนำไปรดต้นไม้ได้ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10pt;"><o:p></o:p></span></div><span style="font-size: 10pt;"><!--[if gte vml 1]><v:shape
id="_x0000_i1030" type="#_x0000_t75" alt="" style='width:126pt;height:137.25pt'> <v:imagedata src="subwater.files/image006.gif" o:href="http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet6/envi2/subwater/w6.gif"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]--><img height="183" src="http://www.school.net.th/library/snet6/envi2/subwater/subwater.files/image014.jpg" v:shapes="_x0000_i1030" width="168" /></span>ปริยากร เจริญวิริยะภาพhttp://www.blogger.com/profile/00767415070488691558noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1617843372812369322.post-60674485750512574232010-08-09T00:41:00.000-07:002010-08-09T00:41:54.791-07:00ประโยชน์ของต้นตาน<h2><span class="mw-headline" id=".E0.B8.95.E0.B9.89.E0.B8.99.E0.B8.95.E0.B8.B2.E0.B8.A5">ต้นตาล</span></h2><div class="thumb tleft"><div class="thumbinner" style="width: 222px;"><a class="image" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:Borassus_flabellifer.jpg"><img alt="" class="thumbimage" height="330" src="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/01/Borassus_flabellifer.jpg/220px-Borassus_flabellifer.jpg" width="220" /></a> <br />
<div class="thumbcaption"><div class="magnify"><a class="internal" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:Borassus_flabellifer.jpg" title="ขยาย"><img alt="" height="11" src="http://bits.wikimedia.org/skins-1.5/common/images/magnify-clip.png" width="15" /></a></div>ต้นตาล</div></div></div>ต้นตาลตัวผู้จะมีลักษณะที่แตกต่างจากต้นตาลตัวเมียเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้นตาลตัวผู้จะออกงวงเป็นช่อ ไม่มีผล ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "จั่น" ถ้าการเวียนของทางใบวนไปทางซ้ายมือจะเป็นตาลตัวผู้ ต้นตาลตัวผู้จะสังเกตจาก ใบและงวง เพราะถือเป็นเอกลักษณ์ของต้นตาลตัวผู้อย่างชัดเจน ส่วนต้นตาลตัวเมียนั้นจะมีลักษณะ การเรียงตัวของทางใบ ถ้ามีการเรียงตัววนไปทางขวามือจากบริเวณโคนไปสู่ยอดจะเป็นต้นตาลตัวเมีย แต่ที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ต้นตาลตัวเมียจะต่างจากต้นตาลตัวผู้ตรงที่ต้นตาลตัวเมียจะมีลูกเป็นช่อ ๆ หรือชาวบ้านเรียกว่า "ทะลายตาล"<br />
<div align="center"><a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Tan_2.jpg" title="ภาพ:Tan_2.jpg"><img alt="ภาพ:Tan_2.jpg" height="135" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Tan_2.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Tan_2.jpg" width="200" /></a></div><h2><span class="mw-headline" id=".E0.B8.A5.E0.B8.B9.E0.B8.81.E0.B8.95.E0.B8.B2.E0.B8.A5">ลูกตาล</span></h2><h2><span class="mw-headline" id=".E0.B8.88.E0.B8.B2.E0.B8.A7.E0.B8.95.E0.B8.B2.E0.B8.A5">จาวตาล</span></h2>เกิดจากผลแก่จัดของต้นตาลตัวเมีย เมื่อผลหล่นลงมาชาวบ้านจะเก็บรวบรวมกองไว้ ต่อมาต้นตาลตัวเมียจะแทงส่วนที่คล้ายรากงอกออกมาลงสู่พื้นดิน เรียกว่า “งอกตาล” ส่วนนี้จะกลายเป็นต้นอ่อนของต้นตาล เมื่อแทงยอดพ้นดินขึ้นมาจะเจริญเติบโตเป็นต้นตาลต่อไป<br />
<h2><span class="mw-headline" id=".E0.B8.9C.E0.B8.A5.E0.B8.95.E0.B8.B2.E0.B8.A5">ผลตาล</span></h2>หรือลูกตาลที่ยังไม่แก่จัด ถ้านำเอาส่วนของหัวตาลมาปอกผิวนอกออก แล้วหั่นออกเป็นชิ้นบาง ๆ ก็จะได้หัวตาลอ่อนนำไปปรุงเป็น “แกงคั่วหัวตาล” นับเป็นอาหารที่มีรสอร่อยกลมกล่อม แกงหัวตาลจะทำคล้ายแกงคั่ว มีส่วนผสมของกะทิ กระชาย ปลาย่าง ปลากรอบ หรือกุ้งสด แต่ส่วนใหญ่แกงหัวตาลของชาวเพชรบุรีนิยมใช้เนื้อย่าง หรือเนื้อเค็มหั่นบาง ๆ ผสมลงไปพร้อมกันใส่ใบส้มซ่าแทนใบมะกรูด หรืออาจใช้หอยขมมาแกะเนื้อใส่ผสมลงไปด้วย<br />
<h2><span class="mw-headline" id=".E0.B9.80.E0.B8.A1.E0.B8.A5.E0.B9.87.E0.B8.94">เมล็ด</span></h2><a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94&action=edit&redlink=1" title="เมล็ด (หน้านี้ไม่มี)">เมล็ด</a>ตาลสุก ถ้านำไปล้างและฟอกให้สะอาด แล้วนำไปตากแห้งจะมีลักษณะฟูฝอยละเอียดสวยงามคล้ายขนสัตว์ นิยมนำไปเป็นของเล่นสำหรับเด็ก โดยใช้หวี หรือแปรงจัดรูปทรงได้หลาย<br />
<h2><span class="mw-headline" id=".E0.B9.80.E0.B8.9B.E0.B8.A5.E0.B8.B7.E0.B8.AD.E0.B8.81">เปลือก</span></h2><a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81&action=edit&redlink=1" title="เปลือก (หน้านี้ไม่มี)">เปลือก</a>แข็ง คือส่วนที่เป็นกะลา หลังจากที่ผ่าเอาจาวตาลออกแล้ว นิยมนำไปทำเชื้อเพลิง เมื่อนำไปเข้าเตาเผาจะได้ถ่านสีดำที่มีเปอร์เซ็นต์ของคาร์บอนสูง ปัจจุบันมีผู้รับซื้อถ่านที่ผลิตได้จากเปลือกแข็งของลูกตาลจำนวนมาก เพื่อเป็นสินค้าส่งออก นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนประกอบของยาแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และลดกรดในกระเพาะอีกด้วย<br />
<h2><span class="mw-headline" id=".E0.B9.83.E0.B8.9A">ใบ</span></h2><a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5" title="ใบตาล">ใบตาล</a>และทางตาล สามารถทำเป็นพัด โดยตัดเจียน แล้วเย็บริมขอบให้เข้ารูป หรืออาจคัดเลือกใบตาลอ่อนแล้วรีดให้เรียบ นำมาจักเป็นใบ ๆ แล้วเย็บเป็นพัดใบตาลแบบพับก็ได้ ซึ่งเหมาะที่จะพกติดตัวไปได้ พัดแบบนี้อาจผลิตเพื่อจำหน่ายเป็นของที่ระลึก โดยตกแต่งสีสันให้สวยงาม<br />
<h2><span class="mw-headline" id=".E0.B8.97.E0.B8.B2.E0.B8.87.E0.B8.95.E0.B8.B2.E0.B8.A5">ทางตาล</span></h2>ทางตาล เป็นส่วนของก้านของใบตาล สามารถลอกผิวนอกส่วนที่อยู่ด้านบน เรียกว่า “หน้าตาล” มาฟั่นเป็นเชือกสำหรับผูกวัว ล่ามวัว แม้จะใช้ได้ไม่ทนทานเท่าเชือกที่ทำจากต้นปอหรือต้นเส้ง แต่เหมาะกับการใช้งานที่ต้องตากแดดตากฝน เพราะมีความชุ่มน้ำ ซึ่งหากใช้เชือกที่ทำจากวัสดุอื่นก็จะเปื่อยผุพังเร็ว<br />
<h2><span class="mw-headline" id=".E0.B8.A5.E0.B8.B3.E0.B8.95.E0.B9.89.E0.B8.99">ลำต้น</span></h2><a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" title="ลำต้น (หน้านี้ไม่มี)"> แต่ส่วนใหญ่แกงหัวตาลของชาวลำต้น</a>ตาล ที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป จัดว่าลำต้นแก่พอสมควร สามารถนำเปลือกนอก ซึ่งมีความแข็งและมีเสี้ยนตาล เป็นเส้นสีดำแทรกอยู่ในเนื้อไม้ หากนำมาแปรรูปแล้วจะได้ไม้กระดาน ขนาด 4-6 นิ้ว หรือนำมาประดิษฐ์เป็นเฟอร์นิเจอร์ได้หลายรูปแบบ<br />
แบบ สมมติว่าคล้ายช่างทำผม หรือตัดย้อมให้เป็นสีต่าง ๆ นับเป็นของเล่นของเด็กผู้หญิงอีกอย่างหนึ่งปริยากร เจริญวิริยะภาพhttp://www.blogger.com/profile/00767415070488691558noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1617843372812369322.post-21928905679402787622010-08-06T00:30:00.000-07:002010-08-06T00:30:36.568-07:00เศรษฐกิจพอเพียง<strong> จุดเริ่มต้นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง<a href="" id="porpeing1" name="porpeing1"></a><br />
<br />
</strong><img align="left" height="100" hspace="5" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/p1.jpg" vspace="5" width="120" />ผลจากการใช้ แนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่สังคมไทยอย่างมากในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม สังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งกระบวนการของความเปลี่ยนแปลงมีความสลับซับซ้อนจนยากที่จะอธิบายใน เชิงสาเหตุและผลลัพธ์ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดต่างเป็นปัจจัยเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน <br />
สำหรับผลของการพัฒนาในด้านบวกนั้น ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเจริญทางวัตถุ และสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบสื่อสารที่ทันสมัย หรือการขยายปริมาณและกระจายการศึกษาอย่างทั่วถึงมากขึ้น แต่ผลด้านบวกเหล่านี้ส่วนใหญ่กระจายไปถึงคนในชนบท หรือผู้ด้อยโอกาสในสังคมน้อย <br />
แต่ว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้เกิดผลลบติดตามมาด้วย เช่น การขยายตัวของรัฐเข้าไปในชนบท ได้ส่งผลให้ชนบทเกิดความอ่อนแอในหลายด้าน ทั้งการต้องพึ่งพิงตลาดและพ่อค้าคนกลางในการสั่งสินค้าทุน ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ระบบความสัมพันธ์แบบเครือญาติ และการรวมกลุ่มกันตามประเพณีเพื่อการจัดการทรัพยากรที่เคยมีอยู่แต่เดิมแตก สลายลง ภูมิความรู้ที่เคยใช้แก้ปัญหาและสั่งสมปรับเปลี่ยนกันมาถูกลืมเลือนและเริ่ม สูญหายไป <br />
สิ่งสำคัญ ก็คือ ความพอเพียงในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่ทำให้คนไทยสามารถพึ่งตนเอง และดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีภายใต้อำนาจและความมีอิสระในการกำหนด ชะตาชีวิตของตนเอง ความสามารถในการควบคุมและจัดการเพื่อให้ตนเองได้รับการสนองตอบต่อความ ต้องการต่างๆ รวมทั้งความสามารถในการจัดการปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นศักยภาพพื้นฐานที่คนไทยและสังคมไทยเคยมีอยู่แต่ เดิม ต้องถูกกระทบกระเทือน ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจจากปัญหาฟองสบู่และปัญหาความอ่อนแอของชนบท รวมทั้งปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นข้อพิสูจน์และยืนยันปรากฎการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี <br />
<br />
<br />
<div align="left"><strong><img height="8" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/bot.gif" width="8" /> พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง</strong><strong> </strong><a href="" id="porpeing2" name="porpeing2"></a><br />
<br />
“...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...” (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗)<br />
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานมานานกว่า ๓๐ ปี <strong>เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย</strong> เป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งบนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี <strong>“สติ ปัญญา และความเพียร”</strong> ซึ่งจะนำไปสู่ <strong>“ความสุข”</strong> ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง<br />
“...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่<strong>เราอยู่พอมีพอ กิน</strong> และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้...” (๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)<br />
พระบรมราโชวาทนี้ ทรงเห็นว่าแนวทางการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลักแต่ เพียงอย่างเดียวอาจจะเกิดปัญหาได้ <strong>จึงทรงเน้นการมีพอกินพอใช้ของ ประชาชนส่วนใหญ่ในเบื้องต้นก่อน</strong> เมื่อมีพื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงสร้างความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น <br />
ซึ่งหมายถึง แทนที่จะเน้นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนำการพัฒนาประเทศ ควรที่จะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจพื้นฐานก่อน นั่นคือ <strong>ทำให้ ประชาชนในชนบทส่วนใหญ่พอมีพอกินก่อน</strong> เป็นแนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ เพื่อสร้างพื้นฐานและความมั่นงคงทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนเน้นการพัฒนาในระดับสูงขึ้นไป <br />
<strong> ทรงเตือนเรื่องพออยู่พอกิน ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ คือ เมื่อ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว</strong><strong> </strong><br />
<strong> แต่ทิศทางการพัฒนามิได้เปลี่ยนแปลง</strong><strong> </strong><br />
“...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย...” (๔ ธันวาคม ๒๕๔๑)<br />
<br />
</div><div align="left"><strong>เศรษฐกิจพอเพียง</strong><strong> </strong><br />
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำริชี้แนะแนวทาง การดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า ๒๕ ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความ เปลี่ยนแปลงต่างๆ </div><div align="left"><strong>ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง</strong><strong> </strong><br />
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในภายนอก ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการ ทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี <br />
<strong> ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ </strong>ดังนี้<strong> </strong><br />
๑. <u>ความพอประมาณ</u> หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ <br />
๒. <u>ความมีเหตุผล</u> หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ <br />
๓. <u>ภูมิคุ้มกัน</u> หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต </div><strong>พระราชดำรัสที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง</strong><strong> </strong><a href="" id="porpeing3" name="porpeing3"></a><br />
“...เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาของเศรษฐกิจ การที่ต้องใช้รถไถต้องไปซื้อ เราต้องใช้ต้องหาเงินมาสำหรับซื้อน้ำมันสำหรับรถไถ เวลารถไถเก่าเราต้องยิ่งซ่อมแซม แต่เวลาใช้นั้นเราก็ต้องป้อนน้ำมันให้เป็นอาหาร เสร็จแล้วมันคายควัน ควันเราสูดเข้าไปแล้วก็ปวดหัว ส่วนควายเวลาเราใช้เราก็ต้องป้อนอาหาร ต้องให้หญ้าให้อาหารมันกิน แต่ว่ามันคายออกมา ที่มันคายออกมาก็เป็นปุ๋ย แล้วก็ใช้ได้สำหรับให้ที่ดินของเราไม่เสีย...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๙ <div align="left"> “...เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่าแบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละคือเมตตากัน จะอยู่ได้ตลอดไป...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔ </div><div align="left"> “...ตามปกติคนเราชอบดูสถานการณ์ในทางดี ที่เขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นว่าประเทศไทย เรานี่ก้าวหน้าดี การเงินการอุตสาหกรรมการค้าดี มีกำไร อีกทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าเรากำลังเสื่อมลงไปส่วนใหญ่ ทฤษฎีว่า ถ้ามีเงินเท่านั้นๆ มีการกู้เท่านั้นๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า แล้วก็ประเทศก็เจริญมีหวังว่าจะเป็นมหาอำนาจ ขอโทษเลยต้องเตือนเขาว่า จริงตัวเลขดี แต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวังในความต้องการพื้นฐานของประชาชนนั้นไม่มีทาง...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา </div><div align="left">ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๖<br />
</div><div align="left">“...เดี๋ยวนี้ประเทศไทยก็ยังอยู่ดีพอสมควร ใช้คำว่า พอสมควร เพราะเดี๋ยวมีคนเห็นว่ามีคนจน คนเดือดร้อน จำนวนมากพอสมควร แต่ใช้คำว่า พอสมควรนี้ หมายความว่าตามอัตตภาพ...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙ </div><div align="left"> “...ที่เป็นห่วงนั้น เพราะแม้ในเวลา ๒ ปี ที่เป็นปีกาญจนาภิเษกก็ได้เห็นสิ่งที่ทำให้เห็นได้ว่า ประชาชนยังมีความเดือดร้อนมาก และมีสิ่งที่ควรจะแก้ไขและดำเนินการต่อไปทุกด้าน มีภัยจากธรรมชาติกระหน่ำ ภัยธรรมชาตินี้เราคงสามารถที่จะบรรเทาได้หรือแก้ไขได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาพอใช้ มีภัยที่มาจากจิตใจของคน ซึ่งก็แก้ไขได้เหมือนกัน แต่ว่ายากกว่าภัยธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งนอกกายเรา แต่นิสัยใจคอของคนเป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน อันนี้ก็เป็นข้อหนึ่งที่อยากให้จัดการให้มีความเรียบร้อย แต่ก็ไม่หมดหวัง...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙ </div><div align="left"> “...การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙. </div><div align="left"> “...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ </div><div align="left">“...พอเพียง มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอ ก็พอเพียงนี้ก็พอแค่นั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมี มีมากอาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น...” <br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
<img height="270" id="imgb" src="http://learners.in.th/file/adonish_samurai/image24_king.jpg" width="239" /><img height="270" id="imgb" src="http://www.tonkra.ob.tc/pic/03.jpg" width="338" /></div><br />
<div align="left"> </div>ปริยากร เจริญวิริยะภาพhttp://www.blogger.com/profile/00767415070488691558noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1617843372812369322.post-1709402680608205032010-08-06T00:09:00.000-07:002010-08-06T00:09:03.136-07:00เศรษฐกิจพอเพียง<table border="0" style="width: 1001px;"><tbody>
<tr><td><div align="center"><img height="40" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/enought2.gif" width="180" /></div></td> </tr>
<tr valign="top"> <td background="backgnd11.gif" valign="top" width="209"><table border="0" style="width: 217px;" valign="top"><tbody>
<tr valign="top"> <td height="35"><span class="style7"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing1" target="_parent">จุดเริ่มต้นแนวคิด</a></span></td> </tr>
<tr> <td height="36"><span class="style24"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing2" target="_parent">พระราชดำริ</a></span></td> </tr>
<tr> <td height="38"><span class="style24"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing3" target="_parent">พระราชดำรัส</a></span></td> </tr>
<tr> <td height="43"><span class="style24"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing4" target="_parent">ประเทศไทยกับเศรษฐกิจพอเพียง</a></span></td> </tr>
<tr> <td height="63"><span class="style15"><b><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing3" target="_parent">การดำเนินชีวิตตามแนว<br />
พระราชดำร</a></b><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing5">ิิ<b>เศรษฐกิจ พอเพียง</b></a></span></td> </tr>
<tr> <td height="45"><span class="style24"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing6" target="_parent">ตัวอย่างเศรษฐกิจพอเพียง</a></span></td> </tr>
<tr> <td height="45"><span class="style24"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing10" target="_parent">ทฤษฎีใหม่</a></span></td> </tr>
<tr> <td height="50"><span class="style24"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing7" target="_parent">หลักการและแนวทางสำคัญ</a></span></td> </tr>
<tr> <td height="56"><span class="style24"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing8" target="_parent">ทฤษฎีใหม่ที่สมบูรณ์</a></span></td> </tr>
<tr> <td class="style24" height="64" width="207"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing9" target="_parent">แปลงสาธิตทฤษฎีใหม่ของ<br />
มูลนิธิชัยพัฒนา </a></td> </tr>
</tbody></table></td> <td width="776"><div align="center"><table border="0" height="6808" style="width: 770px;"><tbody>
<tr> <td bgcolor="#e9e9e9" height="6777"><br />
<div align="left"><img height="8" src="http://www.chaipat.or.th/JavaBean/images/bot.gif" width="8" /><b> จุดเริ่มต้นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง<a href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=1617843372812369322" id="porpeing1" name="porpeing1"></a><br />
<br />
</b><img align="left" height="100" hspace="5" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/p1.jpg" vspace="5" width="120" />ผลจากการใช้ แนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่สังคมไทยอย่างมากในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม สังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งกระบวนการของความเปลี่ยนแปลงมีความสลับซับซ้อนจนยากที่จะอธิบายใน เชิงสาเหตุและผลลัพธ์ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดต่างเป็นปัจจัยเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน <br />
สำหรับผลของการพัฒนาในด้านบวกนั้น ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเจริญทางวัตถุ และสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบสื่อสารที่ทันสมัย หรือการขยายปริมาณและกระจายการศึกษาอย่างทั่วถึงมากขึ้น แต่ผลด้านบวกเหล่านี้ส่วนใหญ่กระจายไปถึงคนในชนบท หรือผู้ด้อยโอกาสในสังคมน้อย <br />
แต่ว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้เกิดผลลบติดตามมาด้วย เช่น การขยายตัวของรัฐเข้าไปในชนบท ได้ส่งผลให้ชนบทเกิดความอ่อนแอในหลายด้าน ทั้งการต้องพึ่งพิงตลาดและพ่อค้าคนกลางในการสั่งสินค้าทุน ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ระบบความสัมพันธ์แบบเครือญาติ และการรวมกลุ่มกันตามประเพณีเพื่อการจัดการทรัพยากรที่เคยมีอยู่แต่เดิมแตก สลายลง ภูมิความรู้ที่เคยใช้แก้ปัญหาและสั่งสมปรับเปลี่ยนกันมาถูกลืมเลือนและเริ่ม สูญหายไป <br />
สิ่งสำคัญ ก็คือ ความพอเพียงในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่ทำให้คนไทยสามารถพึ่งตนเอง และดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีภายใต้อำนาจและความมีอิสระในการกำหนด ชะตาชีวิตของตนเอง ความสามารถในการควบคุมและจัดการเพื่อให้ตนเองได้รับการสนองตอบต่อความ ต้องการต่างๆ รวมทั้งความสามารถในการจัดการปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นศักยภาพพื้นฐานที่คนไทยและสังคมไทยเคยมีอยู่แต่ เดิม ต้องถูกกระทบกระเทือน ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจจากปัญหาฟองสบู่และปัญหาความอ่อนแอของชนบท รวมทั้งปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นข้อพิสูจน์และยืนยันปรากฎการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี <br />
<br />
</div><div align="left"><b><img height="8" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/bot.gif" width="8" /> พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง</b><b> </b><a href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=1617843372812369322" id="porpeing2" name="porpeing2"></a><br />
<br />
“...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...” (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗)<br />
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานมานานกว่า ๓๐ ปี <b>เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย</b> เป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งบนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี <b>“สติ ปัญญา และความเพียร”</b> ซึ่งจะนำไปสู่ <b>“ความสุข”</b> ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง<br />
“...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่<b>เราอยู่พอมีพอ กิน</b> และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้...” (๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)<br />
พระบรมราโชวาทนี้ ทรงเห็นว่าแนวทางการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลักแต่ เพียงอย่างเดียวอาจจะเกิดปัญหาได้ <b>จึงทรงเน้นการมีพอกินพอใช้ของ ประชาชนส่วนใหญ่ในเบื้องต้นก่อน</b> เมื่อมีพื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงสร้างความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น <br />
ซึ่งหมายถึง แทนที่จะเน้นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนำการพัฒนาประเทศ ควรที่จะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจพื้นฐานก่อน นั่นคือ <b>ทำให้ ประชาชนในชนบทส่วนใหญ่พอมีพอกินก่อน</b> เป็นแนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ เพื่อสร้างพื้นฐานและความมั่นงคงทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนเน้นการพัฒนาในระดับสูงขึ้นไป <br />
<b> ทรงเตือนเรื่องพออยู่พอกิน ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ คือ เมื่อ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว</b><b> </b><br />
<b> แต่ทิศทางการพัฒนามิได้เปลี่ยนแปลง</b><b> </b><br />
“...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย...” (๔ ธันวาคม ๒๕๔๑)<br />
<br />
</div><div align="left"><b>เศรษฐกิจพอเพียง</b><b> </b><br />
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำริชี้แนะแนวทาง การดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า ๒๕ ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความ เปลี่ยนแปลงต่างๆ </div><div align="left"><b>ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง</b><b> </b><br />
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในภายนอก ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการ ทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี <br />
<b> ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ </b>ดังนี้<b> </b><br />
๑. <u>ความพอประมาณ</u> หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ <br />
๒. <u>ความมีเหตุผล</u> หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ <br />
๓. <u>ภูมิคุ้มกัน</u> หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต </div><div align="left"> โดยมี <b>เงื่อนไข</b> ของการตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง ๒ ประการ ดังนี้ <br />
๑. <u>เงื่อนไขความรู้</u> ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในการปฏิบัติ <br />
๒. <u>เงื่อนไขคุณธรรม</u> ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักใน คุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต </div><table border="0" style="width: 759px;"><tbody>
<tr> <td background="../../templates/rhuk_solarflare_ii/content/porpeing/bgfront.jpg" width="679"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing" target="_parent"><img align="absmiddle" border="0" height="32" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/up.gif" width="32" /><span class="style30">ย้อนกลับด้านบน</span></a></td> </tr>
</tbody></table><div align="left"><b><img height="8" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/bot.gif" width="8" /> พระราชดำรัสที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง</b><b> </b><a href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=1617843372812369322" id="porpeing3" name="porpeing3"></a><br />
“...เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาของเศรษฐกิจ การที่ต้องใช้รถไถต้องไปซื้อ เราต้องใช้ต้องหาเงินมาสำหรับซื้อน้ำมันสำหรับรถไถ เวลารถไถเก่าเราต้องยิ่งซ่อมแซม แต่เวลาใช้นั้นเราก็ต้องป้อนน้ำมันให้เป็นอาหาร เสร็จแล้วมันคายควัน ควันเราสูดเข้าไปแล้วก็ปวดหัว ส่วนควายเวลาเราใช้เราก็ต้องป้อนอาหาร ต้องให้หญ้าให้อาหารมันกิน แต่ว่ามันคายออกมา ที่มันคายออกมาก็เป็นปุ๋ย แล้วก็ใช้ได้สำหรับให้ที่ดินของเราไม่เสีย...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๙ </div><div align="left"> “...เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่าแบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละคือเมตตากัน จะอยู่ได้ตลอดไป...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔ </div><div align="left"> “...ตามปกติคนเราชอบดูสถานการณ์ในทางดี ที่เขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นว่าประเทศไทย เรานี่ก้าวหน้าดี การเงินการอุตสาหกรรมการค้าดี มีกำไร อีกทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าเรากำลังเสื่อมลงไปส่วนใหญ่ ทฤษฎีว่า ถ้ามีเงินเท่านั้นๆ มีการกู้เท่านั้นๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า แล้วก็ประเทศก็เจริญมีหวังว่าจะเป็นมหาอำนาจ ขอโทษเลยต้องเตือนเขาว่า จริงตัวเลขดี แต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวังในความต้องการพื้นฐานของประชาชนนั้นไม่มีทาง...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา </div><div align="left">ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๖</div><div align="left">“...เดี๋ยวนี้ประเทศไทยก็ยังอยู่ดีพอสมควร ใช้คำว่า พอสมควร เพราะเดี๋ยวมีคนเห็นว่ามีคนจน คนเดือดร้อน จำนวนมากพอสมควร แต่ใช้คำว่า พอสมควรนี้ หมายความว่าตามอัตตภาพ...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙ </div><div align="left"> “...ที่เป็นห่วงนั้น เพราะแม้ในเวลา ๒ ปี ที่เป็นปีกาญจนาภิเษกก็ได้เห็นสิ่งที่ทำให้เห็นได้ว่า ประชาชนยังมีความเดือดร้อนมาก และมีสิ่งที่ควรจะแก้ไขและดำเนินการต่อไปทุกด้าน มีภัยจากธรรมชาติกระหน่ำ ภัยธรรมชาตินี้เราคงสามารถที่จะบรรเทาได้หรือแก้ไขได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาพอใช้ มีภัยที่มาจากจิตใจของคน ซึ่งก็แก้ไขได้เหมือนกัน แต่ว่ายากกว่าภัยธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งนอกกายเรา แต่นิสัยใจคอของคนเป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน อันนี้ก็เป็นข้อหนึ่งที่อยากให้จัดการให้มีความเรียบร้อย แต่ก็ไม่หมดหวัง...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙ </div><div align="left"> “...การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙. </div><div align="left"> “...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ </div><div align="left">“...พอเพียง มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอ ก็พอเพียงนี้ก็พอแค่นั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมี มีมากอาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น...” <br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ </div><div align="left"> “...ไฟดับถ้ามีความจำเป็น หากมีเศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่เต็มที่ เรามีเครื่องปั่นไฟก็ใช้ปั่นไฟ หรือถ้าขั้นโบราณกว่า มืดก็จุดเทียน คือมีทางที่จะแก้ปัญหาเสมอ ฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงก็มีเป็นขั้นๆ แต่จะบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ให้พอเพียงเฉพาะตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์นี่เป็นสิ่งทำไม่ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน ถ้ามีการช่วยกัน แลกเปลี่ยนกัน ก็ไม่ใช่พอเพียงแล้ว แต่ว่าพอเพียงในทฤษฎีในหลวงนี้ คือให้สามารถที่จะดำเนินงานได้...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒ </div><div align="left"> “...โครงการต่างๆ หรือเศรษฐกิจที่ใหญ่ ต้องมีความสอดคล้องกันดีที่ไม่ใช่เหมือนทฤษฎีใหม่ ที่ใช้ที่ดินเพียง ๑๕ ไร่ และสามารถที่จะปลูกข้าวพอกิน กิจการนี้ใหญ่กว่า แต่ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสักก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน เขานึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ห่างไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง แต่ที่จริงแล้ว เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒ </div><div align="left"> “...ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียงความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือทำจากรายได้ ๒๐๐-๓๐๐ บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท คนชอบเอาคำพูดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง คือทำเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมายไม่ใช่แบบที่ฉันคิด ที่ฉันคิดคือเป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดูทีวี ก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกลๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดูแต่ใช้แบตเตอรี่ เขาไม่มีไฟฟ้า แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรียบเสมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่ และยังใส่เนคไทเวอร์ซาเช่ อันนี้ก็เกินไป...” <br />
พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล <br />
๑๗ มกราคม ๒๕๔๔ </div><table border="0" style="width: 755px;"><tbody>
<tr> <td background="bgfront.jpg" height="36"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing" target="_parent"><img align="absmiddle" border="0" height="32" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/up.gif" width="32" /><span class="style30">ย้อนกลับด้านบน</span></a></td> </tr>
</tbody></table><div align="left"><b><img height="8" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/bot.gif" width="8" /> ประเทศไทยกับเศรษฐกิจพอเพียง</b><b> </b><a href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=1617843372812369322" id="porpeing4" name="porpeing4"></a><br />
เศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้ผู้ผลิต หรือผู้บริโภค พยายามเริ่มต้นผลิต หรือบริโภคภายใต้ขอบเขต ข้อจำกัดของรายได้ หรือทรัพยากรที่มีอยู่ไปก่อน ซึ่งก็คือ หลักในการลดการพึ่งพา เพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมการผลิตได้ด้วยตนเอง และลดภาวะการเสี่ยงจากการไม่สามารถควบคุมระบบตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ <br />
เศรษฐกิจพอเพียงมิใช่หมายความถึง การกระเบียดกระเสียนจนเกินสมควร หากแต่อาจฟุ่มเฟือยได้เป็นครั้งคราวตามอัตภาพ แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศ มักใช้จ่ายเกินตัว เกินฐานะที่หามาได้ </div><div align="left"> เศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำไปสู่เป้าหมายของการสร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจได้ เช่น โดยพื้นฐานแล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เศรษฐกิจของประเทศจึงควรเน้นที่เศรษฐกิจการเกษตร เน้นความมั่นคงทางอาหาร เป็นการสร้างความมั่นคงให้เป็นระบบเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง จึงเป็นระบบเศรษฐกิจที่ช่วยลดความเสี่ยง หรือความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้ <br />
เศรษฐกิจพอเพียง สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ทุกสาขา ทุกภาคของเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นจะต้องจำกัดเฉพาะแต่ภาคการเกษตร หรือภาคชนบท แม้แต่ภาคการเงิน ภาคอสังหาริมทรัพย์ และการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ <br />
โดยมีหลักการที่คล้ายคลึงกันคือ เน้นการเลือกปฏิบัติอย่างพอประมาณ มีเหตุมีผล และสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเองและสังคม </div><table border="0" style="width: 758px;"><tbody>
<tr> <td background="bgfront.jpg" height="36"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing" target="_parent"><img align="absmiddle" border="0" height="32" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/up.gif" width="32" /><span class="style30">ย้อนกลับด้านบน</span></a></td> </tr>
</tbody></table><div align="left"><b><img height="8" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/bot.gif" width="8" /> การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริพอเพียง</b><b> </b><a href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=1617843372812369322" id="porpeing5" name="porpeing5"></a><br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าใจถึงสภาพสังคมไทย ดังนั้น เมื่อได้พระราชทานแนวพระราชดำริ หรือพระบรมราโชวาทในด้านต่างๆ จะทรงคำนึงถึงวิถีชีวิต สภาพสังคมของประชาชนด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางความคิด ที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในทางปฏิบัติได้ <br />
<u>แนวพระราชดำริในการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง</u> <br />
๑. ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการใช้ชีวิต <br />
๒. ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริต <br />
๓. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันกันในทางการค้าแบบต่อสู้กันอย่าง รุนแรง <br />
๔. ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยการขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้มีรายได้เพิ่มพูนขึ้น จนถึงขั้นพอเพียงเป็นเป้าหมายสำคัญ <br />
๕. ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่ว ประพฤติตนตามหลักศาสนา </div><table border="0" style="width: 754px;"><tbody>
<tr> <td background="bgfront.jpg"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing" target="_parent"><img align="absmiddle" border="0" height="32" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/up.gif" width="32" /><span class="style30">ย้อนกลับด้านบน</span></a></td> </tr>
</tbody></table><div align="left"><br />
<b><img height="8" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/bot.gif" width="8" /> ตัวอย่างเศรษฐกิจพอเพียง<a href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=1617843372812369322" id="porpeing6" name="porpeing6"></a></b> <br />
<br />
<span class="style28"><img height="8" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/bot.gif" width="8" /> ทฤษฎีใหม่</span><br />
<b>ทฤษฎีใหม่</b> <b>คือ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม</b>ของการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงที่เด่น ชัดที่สุด ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรินี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่มักประสบปัญหาทั้งภัยธรรมชาติและปัจจัย ภายนอกที่มีผลกระทบต่อการทำการเกษตร ให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤต โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำได้โดยไม่เดือดร้อนและยากลำบากนัก <br />
<b> </b>ความเสี่ยงที่เกษตรกร มักพบเป็นประจำ ประกอบด้วย <br />
๑. ความเสี่ยงด้านราคาสินค้าเกษตร <br />
๒. ความเสี่ยงในราคาและการพึ่งพาปัจจัยการผลิตสมัยใหม่จากต่างประเทศ <br />
๓. ความเสี่ยงด้านน้ำ ฝนทิ้งช่วง ฝนแล้ง<br />
๔. ภัยธรรมชาติอื่นๆ และโรคระบาด<br />
๕. ความเสี่ยงด้านแบบแผนการผลิต <br />
- ความเสี่ยงด้านโรคและศัตรูพืช<br />
- ความเสี่ยงด้านการขาดแคลนแรงงาน<br />
- ความเสี่ยงด้านหนี้สินและการสูญเสียที่ดิน <br />
ทฤษฎีใหม่ จึงเป็นแนวทางหรือหลักการในการบริหารการจัดการที่ดินและน้ำ เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด </div><table border="0" style="width: 753px;"><tbody>
<tr> <td background="bgfront.jpg" height="36"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing" target="_parent"><img align="absmiddle" border="0" height="32" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/up.gif" width="32" /><span class="style30">ย้อนกลับด้านบน</span></a></td> </tr>
</tbody></table><div align="left"><br />
<span class="style28"><img height="8" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/bot.gif" width="8" /> ทฤษฎีใหม่<a href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=1617843372812369322" id="porpeing10" name="porpeing10"></a></span></div><div align="left"> <b>ความสำคัญของทฤษฎี ใหม่</b><b> </b><br />
๑. มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็กออกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกร ซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อน <br />
๒. มีการคำนวณโดยใช้หลักวิชาการเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่จะกักเก็บให้พอเพียงต่อ การเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสมตลอดปี <br />
๓. มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบสำหรับเกษตรกรรายย่อย โดยมีถึง ๓ ขั้นตอน <br />
<br />
<b>ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น</b><b> </b><br />
ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็น ๔ ส่วน ตามอัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ซึ่งหมายถึง <br />
พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง ประมาณ ๓๐% ให้ขุดสระเก็บกักน้ำเพื่อใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน และใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์และพืชน้ำต่างๆ<br />
พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันสำหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอด ปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้<br />
พื้นที่ส่วนที่สาม ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน หากเหลือบริโภคก็นำไปจำหน่าย<br />
พื้นที่ส่วนที่สี่ ประมาณ ๑๐% เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอื่นๆ<br />
<b>ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง</b><b> </b><br />
เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง คือให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูป กลุ่ม หรือ สหกรณ์ ร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินการในด้าน <br />
(๑) การผลิต (พันธุ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ) <br />
- เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลิต โดยเริ่ม ตั้งแต่ขั้นเตรียมดิน การหาพันธุ์พืช ปุ๋ย การจัดหาน้ำ และอื่นๆ เพื่อการเพาะปลูก <br />
(๒) การตลาด (ลานตากข้าว ยุ้ง เครื่องสีข้าว การจำหน่ายผลผลิต) <br />
- เมื่อมีผลผลิตแล้ว จะต้องเตรียมการต่างๆ เพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์สูงสุด เช่น การเตรียมลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหายุ้งรวบรวมข้าว เตรียมหาเครื่องสีข้าว ตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตให้ได้ราคาดีและลดค่าใช้จ่ายลงด้วย <br />
(๓) การเป็นอยู่ (กะปิ น้ำปลา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ) <br />
- ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร โดยมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น อาหารการกินต่างๆ กะปิ น้ำปลา เสื้อผ้า ที่พอเพียง <br />
(๔) สวัสดิการ (สาธารณสุข เงินกู้) <br />
- แต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริการที่จำเป็น เช่น มีสถานีอนามัยเมื่อยามป่วยไข้ หรือมีกองทุนไว้กู้ยืมเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน <br />
(๕) การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา) <br />
- ชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา เช่น มีกองทุนเพื่อการศึกษาเล่าเรียนให้แก่เยาวชนของชมชนเอง <br />
(๖) สังคมและศาสนา <br />
- ชุมชนควรเป็นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจ โดยมีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว <br />
โดยกิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าส่วนราชการ องค์กรเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชุมชนนั้นเป็นสำคัญ <br />
<br />
<b>ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สาม</b><b> </b><br />
เมื่อดำเนินการผ่านพ้นขั้นที่สองแล้ว เกษตรกร หรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สามต่อไป คือติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษัท ห้างร้านเอกชน มาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต <br />
ทั้งนี้ ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคาร หรือบริษัทเอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ <br />
- เกษตรกรขายข้าวได้ราคาสูง (ไม่ถูกกดราคา) <br />
- ธนาคารหรือบริษัทเอกชนสามารถซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ำ (ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง) <br />
- เกษตรกรซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคได้ในราคาต่ำ เพราะรวมกันซื้อเป็นจำนวนมาก (เป็นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ง) <br />
- ธนาคารหรือบริษัทเอกชน จะสามารถกระจายบุคลากร เพื่อไปดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น </div><table border="0" style="width: 753px;"><tbody>
<tr> <td background="bgfront.jpg" height="36"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing" target="_parent"><img align="absmiddle" border="0" height="32" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/up.gif" width="32" /><span class="style30">ย้อนกลับด้านบน</span></a></td> </tr>
</tbody></table><div align="left"> <b><img height="8" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/bot.gif" width="8" /> หลักการและแนวทางสำคัญ</b><b><a href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=1617843372812369322" id="porpeing7" name="porpeing7"></a> </b><br />
<br />
๑. เป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเลี้ยงตัวเองได้ในระดับ ที่ประหยัดก่อน ทั้งนี้ ชุมชนต้องมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำนองเดียวกับการ “ลงแขก” แบบดั้งเดิมเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานด้วย<br />
๒. เนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยหลักที่ทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค ดังนั้น จึงประมาณว่าครอบครัวหนึ่งทำนาประมาณ ๕ ไร่ จะทำให้มีข้าวพอกินตลอดปี โดยไม่ต้องซื้อหาในราคาแพง เพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่างมีอิสรภาพ <br />
๓. ต้องมีน้ำเพื่อการเพาะปลูกสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง หรือระยะฝนทิ้งช่วงได้อย่างพอเพียง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกันที่ดินส่วนหนึ่งไว้ขุดสระน้ำ โดยมีหลักว่าต้องมีน้ำเพียงพอที่จะเพาะปลูกได้ตลอดปี ทั้งนี้ ได้พระราชทานพระราชดำริเป็นแนวทางว่า ต้องมีน้ำ ๑,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ต่อการเพาะปลูก ๑ ไร่ โดยประมาณ ฉะนั้น เมื่อทำนา ๕ ไร่ ทำพืชไร่ หรือไม้ผลอีก ๕ ไร่ (รวมเป็น ๑๐ ไร่) จะต้องมีน้ำ ๑๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อปี </div><div align="left">ดังนั้น หากตั้งสมมติฐานว่า มีพื้นที่ ๕ ไร่ ก็จะสามารถกำหนดสูตรคร่าวๆ ว่า แต่ละแปลง ประกอบด้วย <br />
- นาข้าว ๕ ไร่ <br />
- พืชไร่ พืชสวน ๕ ไร่ <br />
- สระน้ำ ๓ ไร่ ขุดลึก ๔ เมตร จุน้ำได้ประมาณ ๑๙,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณน้ำที่เพียงพอที่จะสำรองไว้ใช้ยามฤดูแล้ง <br />
- ที่อยู่อาศัยและอื่นๆ ๒ ไร่ <br />
รวมทั้งหมด ๑๕ ไร่ <br />
แต่ทั้งนี้ ขนาดของสระเก็บน้ำขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม ดังนี้ <br />
- ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรอาศัยน้ำฝน สระน้ำควรมีลักษณะลึก เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหยได้มากเกินไป ซึ่งจะทำให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี <br />
- ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรในเขตชลประทาน สระน้ำอาจมีลักษณะลึก หรือตื้น และแคบ หรือกว้างก็ได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสม เพราะสามารถมีน้ำมาเติมอยู่เรื่อยๆ <br />
การมีสระเก็บน้ำก็เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้อย่างสม่ำเสมอทั้งปี (ทรงเรียกว่า Regulator หมายถึงการควบคุมให้ดี มีระบบน้ำหมุนเวียนใช้เพื่อการเกษตรได้โดยตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าแล้งและระยะฝนทิ้งช่วง แต่มิได้หมายความว่า เกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวนาปรังได้ เพราะหากน้ำในสระเก็บน้ำไม่พอ ในกรณีมีเขื่อนอยู่บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะต้องสูบน้ำมาจากเขื่อน ซึ่งจะทำให้น้ำในเขื่อนหมดได้ แต่เกษตรกรควรทำนาในหน้าฝน และเมื่อถึงฤดูแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงให้เกษตรกรใช้น้ำที่เก็บตุนนั้น ให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตรอย่างสูงสุด โดยพิจารณาปลูกพืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล เพื่อจะได้มีผลผลิตอื่นๆ ไว้บริโภคและสามารถนำไปขายได้ตลอดทั้งปี<br />
๔. การจัดแบ่งแปลงที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณและคำนึงจากอัตราการถือครองที่ดินถัว เฉลี่ยครัวเรือนละ ๑๕ ไร่ อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรมีพื้นที่ถือครองน้อยกว่านี้ หรือมากกว่านี้ ก็สามารถใช้อัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ เป็นเกณฑ์ปรับใช้ได้ กล่าวคือ<br />
ร้อยละ ๓๐ ส่วนแรก ขุดสระน้ำ (สามารถเลี้ยงปลา ปลูกพืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด ฯลฯ ได้ด้วย) บนสระอาจสร้างเล้าไก่และบนขอบสระน้ำอาจปลูกไม้ยืนต้นที่ไม่ใช้น้ำมากโดยรอบ ได้ <br />
ร้อยละ ๓๐ ส่วนที่สอง ทำนา <br />
ร้อยละ ๓๐ ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไม้เพื่อเป็นเชื้อฟืน ไม้สร้างบ้าน พืชไร่ พืชผัก สมุนไพร เป็นต้น) <br />
ร้อยละ ๑๐ สุดท้าย เป็นที่อยู่อาศัยและอื่นๆ (ทางเดิน คันดิน กองฟาง ลานตาก กองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชสวนครัวหลังบ้าน เป็นต้น) <br />
<br />
อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวเป็นสูตร หรือหลักการโดยประมาณเท่านั้น สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม โดยขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นที่ดิน ปริมาณน้ำฝน และสภาพแวดล้อม เช่น ในกรณีภาคใต้ที่มีฝนตกชุก หรือพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำมาเติมสระได้ต่อเนื่อง ก็อาจลดขนาดของบ่อ หรือสระเก็บน้ำให้เล็กลง เพื่อเก็บพื้นที่ไว้ใช้ประโชน์อื่นต่อไปได้ <br />
๕. การดำเนินการตามทฤษฎีใหม่ มีปัจจัยประกอบหลายประการ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ สภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่น ดังนั้น เกษตรกรควรขอรับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ด้วย และที่สำคัญ คือ ราคาการลงทุนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขุดสระน้ำ เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากส่วนราชการ มูลนิธิ และเอกชน <br />
๖. ในระหว่างการขุดสระน้ำ จะมีดินที่ถูกขุดขึ้นมาจำนวนมาก หน้าดินซึ่งเป็นดินดี ควรนำไปกองไว้ต่างหากเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชต่างๆ ในภายหลัง โดยนำมาเกลี่ยคลุมดินชั้นล่างที่เป็นดินไม่ดี หรืออาจนำมาถมทำขอบสระน้ำ หรือยกร่องสำหรับปลูกไม้ผลก็จะได้ประโยชน์อีกทางหนึ่ง </div><div align="left"> <b>ตัวอย่างพืชที่ควร ปลูกและสัตว์ที่ควรเลี้ยง</b><b> </b><br />
ไม้ผลและผักยืนต้น : มะม่วง มะพร้าว มะขาม ขนุน ละมุด ส้ม กล้วย น้อยหน่า มะละกอ กะท้อน แคบ้าน มะรุม สะเดา ขี้เหล็ก กระถิน ฯลฯ<br />
ผักล้มลุกและดอกไม้ : มันเทศ เผือก ถั่วฝักยาว มะเขือ มะลิ ดาวเรือง บานไม่รู้โรย กุหลาบ รัก และซ่อนกลิ่น เป็นต้น<br />
เห็ด : เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดเป๋าฮื้อ เป็นต้น<br />
สมุนไพรและเครื่องเทศ : หมาก พลู พริกไท บุก บัวบก มะเกลือ ชุมเห็ด หญ้าแฝก และพืชผักบางชนิด เช่น กะเพรา โหระพา สะระแหน่ แมงลัก และตะไคร้ เป็นต้น<br />
ไม้ใช้สอยและเชื้อเพลิง : ไผ่ มะพร้าว ตาล กระถินณรงค์ มะขามเทศ สะแก ทองหลาง จามจุรี กระถิน สะเดา ขี้เหล็ก ประดู่ ชิงชัน และยางนา เป็นต้น<br />
พืชไร่ : ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วพุ่ม ถั่วมะแฮะ อ้อย มันสำปะหลัง ละหุ่ง นุ่น เป็นต้น พืชไร่หลายชนิดอาจเก็บเกี่ยวเมื่อผลผลิตยังสดอยู่ และจำหน่ายเป็นพืชประเภทผักได้ และมีราคาดีกว่าเก็บเมื่อแก่ ได้แก่ ข้าวโพด ถัวเหลือง ถั่วลิสง ถั่วพุ่ม ถั่วมะแฮะ อ้อย และมันสำปะหลัง<br />
พืชบำรุงดินและพืชคลุมดิน : ถั่วมะแฮะ ถั่วฮามาต้า โสนแอฟริกัน โสนพื้นเมือง ปอเทือง ถั่วพร้า ขี้เหล็ก กระถิน รวมทั้งถั่วเขียวและถั่วพุ่ม เป็นต้น และเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วไถกลบลงไปเพื่อบำรุงดินได้<br />
หมายเหตุ : พืชหลายชนิดใช้ทำประโยชน์ได้มากกว่าหนึ่งชนิด และการเลือกปลูกพืชควรเน้นพืชยืนต้นด้วย เพราะการดูแลรักษาในระยะหลังจะลดน้อยลง มีผลผลิตทยอยออกตลอดปี ควรเลือกพืชยืนต้นชนิดต่างๆ กัน ให้ความร่มเย็นและชุ่มชื้นกับที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม และควรเลือกต้นไม้ให้สอดคล้องกับสภาพของพื้นที่ เช่น ไม่ควรปลูกยูคาลิปตัสบริเวณขอบสระ ควรเป็นไม้ผลแทน เป็นต้น<br />
<br />
สัตว์เลี้ยงอื่นๆ ได้แก่ <br />
สัตว์น้ำ : ปลาไน ปลานิล ปลาตะเพียนขาว ปลาดุก เพื่อเป็นอาหารเสริมประเภทโปรตีน และยังสามารถนำไปจำหน่ายเป็นรายได้เสริมได้อีกด้วย ในบางพื้นที่สามารถเลี้ยงกบได้<br />
สุกร หรือ ไก่ เลี้ยงบนขอบสระน้ำ ทั้งนี้ มูลสุกรและไก่สามารถนำมาเป็นอาหารปลา บางแห่งอาจเลี้ยงเป็ดได้ </div><div align="left"> <b>ประโยชน์ของทฤษฎีใหม่</b><b> </b><br />
๑. ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยาก และเลี้ยงตนเองได้ตามหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง”<br />
๒. ในหน้าแล้งมีน้ำน้อย ก็สามารถเอาน้ำที่เก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่างๆ ที่ใช้น้ำน้อยได้ โดยไม่ต้องเบียดเบียนชลประทาน <br />
๓. ในปีที่ฝนตกตามฤดูกาลโดยมีน้ำดีตลอดปี ทฤษฎีใหม่นี้สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้โดยไม่เดือดร้อนในเรื่องค่า ใช้จ่ายต่างๆ <br />
๔. ในกรณีที่เกิดอุทกภัย เกษตรกรสามารถที่จะฟื้นตัวและช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยทางราชการไม่ต้องช่วยเหลือมากนัก ซึ่งเป็นการประหยัดงบประมาณด้วย </div><table border="0" style="width: 752px;"><tbody>
<tr> <td background="bgfront.jpg"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing" target="_parent"><img align="absmiddle" border="0" height="32" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/up.gif" width="32" /><span class="style30">ย้อนกลับด้านบน</span></a></td> </tr>
</tbody></table><h3 align="left"> <span class="style25"> <img height="8" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/bot.gif" width="8" /> ทฤษฎีใหม่ที่สมบูรณ์ <a href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=1617843372812369322" id="porpeing8" name="porpeing8"></a> </span> </h3><div align="left">ทฤษฎีใหม่ที่ดำเนินการโดยอาศัยแหล่งน้ำ ธรรมชาติ น้ำฝน จะอยู่ในลักษณะ “หมิ่นเหม่” เพราะหากปีใดฝนน้อย น้ำอาจจะไม่เพียงพอ ฉะนั้น การที่จะทำให้ทฤษฎีใหม่สมบูรณ์ได้นั้น จำเป็นต้องมีสระเก็บกักน้ำที่มีประสิทธิภาพและเต็มความสามารถ โดยการมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถเพิ่มเติมน้ำในสระเก็บกักน้ำให้เต็มอยู่ เสมอ ดังเช่น กรณีของการทดลองที่โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนาอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ จังหวัดสระบุรี <br />
<br />
</div><div align="left"><i>ระบบทฤษฎีใหม่ที่สมบูรณ์</i><br />
<i>อ่างใหญ่ เติมอ่างเล็ก อ่างเล็ก เติมสระน้ำ</i></div><div align="left"> <img height="275" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/p2.jpg" width="300" /> </div><div align="left"> จากภาพ วงกลมเล็ก คือสระน้ำที่เกษตรกรขุดขึ้นตามทฤษฎีใหม่ เมื่อเกิดช่วงขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง เกษตรกรสามารถสูบน้ำมาใช้ประโยชน์ได้ และหากน้ำในสระน้ำไม่เพียงพอก็ขอรับน้ำจากอ่างห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ซึ่งได้ทำระบบส่งน้ำเชื่อมต่อทางท่อลงมายังสระน้ำที่ได้ขุดไว้ในแต่ละแปลง ซึ่งจะช่วยให้สามารถมีน้ำใช้ตลอดปี <br />
กรณีที่เกษตรกรใช้น้ำกันมาก อ่างห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ก็อาจมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ก็สามารถใช้วิธีการผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ (อ่างใหญ่) ต่อลงมายังอ่างเก็บน้ำห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ก็จะช่วยให้มีปริมาณน้ำมาเติมในสระของเกษตรกรพอตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องเสี่ยง <br />
ระบบการจัดการทรัพยากรน้ำตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สามารถทำให้การใช้น้ำมีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด จากระบบส่งท่อเปิดผ่านไปตามแปลงไร่นาต่างๆ ถึง ๓-๕ เท่า เพราะยามหน้าฝน นอกจากจะมีน้ำในอ่างเก็บน้ำแล้ว ยังมีน้ำในสระของราษฎรเก็บไว้พร้อมกันด้วย ทำให้มีปริมาณน้ำเพิ่มอย่างมหาศาล น้ำในอ่างที่ต่อมาสู่สระจะทำหน้าที่เป็นแหล่งน้ำสำรอง คอยเติมเท่านั้นเอง </div><table border="0" style="width: 755px;"><tbody>
<tr> <td background="bgfront.jpg"><a href="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html#porpeing" target="_parent"><img align="absmiddle" border="0" height="32" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/up.gif" width="32" /><span class="style30">ย้อนกลับด้านบน</span></a></td> </tr>
</tbody></table><img height="270" id="imgb" src="http://www.tonkra.ob.tc/pic/03.jpg" width="338" /></td> </tr>
</tbody></table><div align="left"><br />
</div></div></td></tr>
</tbody></table>ปริยากร เจริญวิริยะภาพhttp://www.blogger.com/profile/00767415070488691558noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1617843372812369322.post-76617867209590193742010-08-05T20:54:00.001-07:002010-08-05T20:54:50.906-07:00หลักปัญญาเศรษฐกิจพอเพียง<div align="center"><img height="1004" src="http://www.scc.ac.th/flashshow/60th/SE/page1.jpg" width="685" /> </div><div align="center"><img height="1004" src="http://www.scc.ac.th/flashshow/60th/SE/page2.jpg" width="685" /> </div><div align="center"><img height="1004" src="http://www.scc.ac.th/flashshow/60th/SE/page3.jpg" width="685" /></div><div align="center"><br />
</div>ปริยากร เจริญวิริยะภาพhttp://www.blogger.com/profile/00767415070488691558noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1617843372812369322.post-58303269399900464772010-08-05T02:06:00.000-07:002010-08-05T02:06:17.290-07:00หลักปัญญาเศรษฐกิจพอเพียง<b>เศรษฐกิจพอเพียง</b> เป็น<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B8%B2" title="ปรัชญา">ปรัชญา</a>ที่ชี้แนวทางการดำรงชีวิต ที่<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%8A" title="พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช">พระบาทสมเด็จพระปรมินทรม หาภูมิพลอดุลยเดช</a>มีพระราชดำรัสแก่ชาวไทยนับตั้งแต่ปี <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2517" title="พ.ศ. 2517">พ.ศ. 2517</a> เป็นต้นมาและถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไข<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2540" title="วิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540">ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ไทย</a> ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแส<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%8C" title="โลกาภิวัตน์">โลกาภิวัตน์</a>และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ<br />
<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4" title="สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ">สำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ</a>ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทาง เศรษฐกิจและสาขาอื่น ๆ มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อบรรจุใน<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4&action=edit&redlink=1" title="แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หน้านี้ไม่มี)">แผน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ</a> ฉบับที่ 9และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และได้นำความกราบบังคลทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่ทรงแก้ไขแล้วไปเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ได้รับการเชิดชูเป็นอย่างสูงจาก<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4" title="องค์การสหประชาชาติ">องค์การสหประชาชาติ</a> ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืนโดยมีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่ในขณะเดียวกัน บางสื่อได้มีการตั้งคำถามถึงการยกย่องขององค์การสหประชาชาติ รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรายงานศึกษาและท่าทีขององค์การติและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ได้รับการเชิดชูเป็นอย่างสูงจาก<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4" title="องค์การสหประชาชาติ">องค์การสหประชาชาติ</a> ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืนโดยมีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่ในขณะเดียวกัน บางสื่อได้มีการตั้งคำถามถึงการยกย่องขององค์การสหประชาชาติ รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรายงานศึกษาและท่าทีขององค์การ<br />
<h2><br />
</h2>ปริยากร เจริญวิริยะภาพhttp://www.blogger.com/profile/00767415070488691558noreply@blogger.com6